Thursday, 28 June 2012
บทความ " Do you believe in University? " โดย ฮิวโก้ จุลจักร
Do you believe in University?
สองสัปดาห์ผ่านไป พวกเรามีนัดถ่ายปกกันที่บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาของเขาย่านท่าเตียน พวกเราไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย สักพักเขาก็นั่งรถตู้พร้อมสมาชิกวงสิบล้อตามเข้ามา เท็ดดี้เล่าว่าหลังจากถ่ายปกกับ a day พวกเขาก็มีคิวต้องไปเล่นคอนเสิร์ตต่อที่ลพบุรี
ในระหว่างที่เล็กพาผมเดินเข้าไปนั่งสัมภาษณ์กันที่เรือนหลังเล็กของเขา ผมอธิบายว่า a day ฉบับนี้เราทำเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เขาก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสนุกว่า "แต่ผมไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยนะ"
"ปกติแล้วคุณกลับอังกฤษบ่อยไหม" ผมถามคำถามแรกเมื่อเรานั่งประจำโซฟาเก่าเก๋จากยุค 70 's
"จริงๆแล้วไม่บ่อย แต่เพิ่งกลับไป รู้สึกว่าต้องกลับไปเคลียร์สมองหน่อย ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะกลับไปหาแม่ กลับบ้านต่างจังหวัด แต่ผมมาอยู่ตรงนี้ ถ้ามาถึงจุดที่เหนื่อยล้าในเรื่องชีวิตส่วนตัวและเรื่องงาน บางทีมันก็ต้องกลับไปที่เดิม ไปเจอภาพเดิมๆบ้าง เพราะบางทีมันรั่ว ลอยเป็นละอองอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว" เล็กเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ที่นี่เป็นที่ที่ผมตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ แต่ในเรื่องความทรงจำในวัยเด็กหรือในเรื่องครอบครัวอาจจะไม่ใช่ แม้ว่าครอบครัวผมจะมาเมืองไทยบ้าง แต่ส่วนมากครอบครัวผมไม่ได้เป็นคนไทยเลย เขาอยู่ที่โน่นกันหมด ผมไปงานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนไฮสคูลที่อังกฤษ เจอเพื่อนผมคนนึงเค้าหมั้นแล้ว เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาเป็นแฟนด้วยสมัยอยู่ที่โรงเรียน คิดดู เขาคบคนเดิมมาตลอด แล้วเขาจะแต่งงานแล้ว แล้วผมล่ะ คนละแบบกันเลย ผมไปจากความล้มเหลว สู่ความล้มเหลว สู่ความล้มเหลวในเรื่องความรัก" เขาหัวเราะเสียงดัง " อีกคนก็ไปเป็นหมอ เป็นทนาย ทุกคนไปตามเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน นั่งกินข้าวด้วยกัน เพื่อนผมเขาผมสั้นใส่สูทกันหมด ส่วนผมนั่งหนวดเครายุ่ง บ้าอยู่คนเดียว" เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นอีกครั้ง "มันก็เครียดเหมือนกัน คนอื่นเขามีปริญญา มีงาน มีเงินเดือนเป็นเรื่องเป็นราว แต่เรานั่งบ้าอยู่ตรงนี้ มันเหมือนเราไม่ยอมโตหรือเปล่า? หรือเราเลือกเส้นทางที่ยากเกินไปหรือเปล่า? เรากำลังพายเรือทวนกระแสน้ำอยู่หรือเปล่า? เหนื่อยไปหรือเปล่า? ในที่สุดแล้วคุ้มหรือเปล่า? ในช่วงนั้นมันจะมีคำถาม แต่พอถึงเวที พอถึงห้องอัดแล้ว ความสงสัยทุกอย่างมันจะหายไป"
งานหลักซึ่งน่าจะนับได้ว่าเป็นงานเดียวที่เล็กจริงจังกับมันมากๆในตอนนี้คือ งานดนตรี ที่เขาว่าจังหวะลงล็อคกับชีวิตเขาแล้ว เล็กบอกว่าค่อนข้างจะอิ่มตัวกับงานละครโทรทัศน์แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะเขารู้ว่างานที่ไหลเข้ามาหาเขานั้น ไม่ได้เป็นเพราะความสามารถในการแสดง แต่เป็นหน้าตาสไตล์ลูกครึ่งของเขา และนามสกุลที่จัดว่ามีสง่าราศี ซึ่งเขาก็ไม่ได้โกรธแค้นอะไร เขาเข้าใจดีว่าถ้าคนเรามีความได้เปรียบอะไรก็ควรใช้
"พอถึงเวลา เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง เพราะผมไม่มีปริญญา ไม่มีอะไรในมือเลย ผมมีดีอะไรวะ มีแค่หน้าตากับนามสกุลเหรอ หน้าตาผ่านไปสัก 5 ปีก็หายไปเยอะแล้ว นามสกุลจริงๆก็ไม่ได้มีความหมายอะไรสักเท่าไหร่ สิ่งที่ผมทำไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ หรือดนตรี ก็ต้องพิสูจน์ว่ามันดี ทำเพลงชุดแรกขายไม่ออกเลย ชุดที่สองขายดี ไม่ได้ขายดีเพราะเป็นผม แต่มันขายดีเพราะเพลงมันเพราะ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการพิสูจน์"
"คุณเคยให้สัมภาษณ์เมื่อ 4-5 ปีก่อน สมัยอายุ 17 ว่าอยากจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้านโบราณคดี ทำไมถึงเลิกล้มความคิดนั้นล่ะ?"
"คุณต้องเข้าใจก่อนว่าผมเป็นคนเรียนไม่เก่งเพราะดื้อ หัวรั้น แม่อุตส่าห์ส่งไปโรงเรียนที่ดี จบออกมาก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ผมสอบชีววิทยาตกแบบไร้สาระเลย ได้เกรด N คือ Nothing คือไม่สามารถให้คะแนนได้เลย ผมเลือกเรียนชีวะเพราะผมชอบผู้หญิงคนนึง เขาเลือกคอร์สไหนผมก็เลือกตามจนจีบติด ก็โอเค แต่มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี คิดไปคิดมาจะให้พ่อแม่มาออกตังค์ให้เราปาร์ตี้ต่อ มันก็ไม่ใช่ แล้วผมก็มีโอกาสทำมาหากินแบบที่ไม่ต้องเป็นภาระให้ใครแล้ว ก็คว้าโอกาสตรงนั้นไว้ ผมไม่เคยคิดว่าได้เล่นละคร ไม่เคยนึกว่าอยากจะทำเลย ผมไม่เคยคิดว่ามันจะนำไปสู่อะไร แต่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่แปลกมากที่เข้ามาสู่ชีวิต อย่างน้อยก็ไม่ต้องขอตังค์คุณพ่อคุณแม่ แค่นี้ก็ถือว่าเปลืองตังค์กับการศึกษาของผมพอสมควรแล้ว แล้วก็ไม่ค่อยได้อะไรกลับมา ความภูมิใจก็ไม่ได้ ได้แต่ปัญหา ถ้าผมเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยสันดานของผมก็คงไม่ต่างกับไปโรงเรียน
แล้วผมก็ถามตัวเองว่า จบมาแล้วอยากเป็นนักโบราณคดีเหรอ คงไม่ว่ะ ก็คงหาอะไรเรียนต่อ ถ้างั้นผมจะไปเรียนทำไม ค้นหาตัวเอง ไม่ต้องค้นในมหาวิทยาลัยก็ได้ เผลอๆคงค้นหาอะไรไม่ได้เยอะ เพราะมันเป็นที่ที่ปลอดภัยเกินไป ผมอยู่กับคนในวัยเดียวกันพอแล้ว ผมอยากอยู่กับคนที่เด็กกว่า คนที่อายุมากกว่า อยู่กับคนที่หลากหลายที่มา จะเรียนกว่าชนชั้นก็ได้ แต่ผมไม่ชอบใช้คำนั้นนะ ในมหาวิทยาลัยมีแต่เด็กชนชั้นกลางกลุ่มเดิมที่อยู่กันที่โรงเรียน จบออกมาก็มานั่งงงว่าจะเอายังไงกันต่อ แล้วยิ่งพอมีโอกาสทำในสิ่งที่ชอบแล้ว มาเล่นดนตรีแล้วก็ยิ่งยากแล้วล่ะ
มันต้องมีเหตุผลนะ จะไปเรียนเพราะจะเอาปริญญาไปยื่นตอนสมัครงาน อันนี้ก็โอเค เป็นเหตุผลที่ผมเข้าใจและเห็นด้วยถ้าคุณเป็นคนมีเป้าหมาย ทุกอย่างเป็นขั้นตอนที่ถูกวางไว้แล้ว เรียนจบแล้วหางานทำ หาเมีย มีลูก หลังจากนั้นทำงานเพื่อส่งลูกเรียน หาเงินผ่อนบ้าน ผมไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ถูกวางอยู่บนโลกนี้เพื่อหาเงินหรือเดินตามขั้นตอน ตามกลไกของระบบเท่านั้น มันอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบางคน แต่ผมว่ามันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น" ชายหนุ่มผมยาวแนบแผ่นหลังลงกับพนักโซฟา
"ทำไมคุณถึงบอกว่าเรียนไม่เก่ง ทั้งๆที่คุณก็สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆอยู่ตลอด" ผมสงสัย
"ผมเป็นคนที่อยู่ในระบบการศึกษาแล้วไม่ได้ผลเท่าไหร่ แล้วผมก็เป็นคนที่ดูแปลกและรุนแรงในสายตาคนไทย คือผมไม่คิดว่าเราต้องเชื่อคนที่อายุมากกว่าหรือมีปริญญาอะไรสักอย่างพูด คุณต้องเชื่อเพราะคุณรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมันจริง ผมฟังทุกคน แล้วผมก็ไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นความจริง ในเมืองไทยมันมีคำว่า "เชื่อฟัง" มันเป็นคำเดียว เราต้องฟังหมด แต่ไม่ต้องเชื่อก็ได้ แล้วผมไม่เคยคิดว่าคำชมจากอาจารย์หรือจากคนอื่นว่าผมเรียนเก่งจะมีความสำคัญ กับผม สมมติว่าผมสอบได้ที่โหล่ของห้อง มันไม่กระทบกระเทือนจิตใจผมเลย ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องทำงานหนักขึ้น แต่ผมไม่เคยแคร์เลย ไม่ใช่ว่าเจ๋งหรือหยิ่งหรืออะไร ผมเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใครไม่ได้เลย เพราะอีกมุมคุณอาจจะบอกว่าครอบครัวผมรวยจะทำอะไรก็ไม่เดือดร้อน จะพูดอย่างนั้นก็ได้" เขายิ้ม
"คุณมองว่ามหาวิทยาลัยสอนให้คนเชื่อมากเกินไป"
"ไม่รู้ ผมไม่เคยไป แต่ถ้าจะให้ผมไปใช้เวลาอีก 4 ปีกับเงินของพ่อแม่เนี่ย ผมก็ต้องรู้ว่าเพื่อจุดหมายอะไร ในเมื่อผมรู้แล้วว่าต่อไปผมคงไม่ไปนั่งขุดหลุมเป็นอินเดียน่าโจนส์ ฉะนั้นผมจะไปทำอะไรในมหาวิทยาลัย 4 ปี ถ้าจะเรียนเพื่อหาความสบายใจว่าเป็นเหมือนคนปกติก็ทำไป แต่ผมรู้สึกว่าอย่าไปเรียนเพราะอยากทำตามขั้นตอน ผมไม่ต้องการตรงนั้น การกรอกแบบฟอร์มเรียบร้อย มีเอกสารถูกต้อง ไม่สำคัญสำหรับผม
คนเราจะตัดสินใจทำอะไรต้องตัดสินด้วยตัวเอง อย่าไปเชื่อในสิ่งที่มีอยู่ เราควรตัดสินใจด้วยความรัก ความอยาก ความหิว ไม่ใช่ความกลัว เพราะความกลัวเป็นความรู้สึกที่ลบมาก ถ้าเราเลือกอะไรด้วยความกลัว มันจะติดลบกับเรา ถ้าเรียนเพราะรักวิชานี้ หรือเรียนเพราะเราหิว คิดว่าไปสมัครงานตอนนี้โดยที่ไม่มีปริญญาไม่มีใครเอา โอเคไปเรียนเลย ถูกต้อง ตัดสินใจด้วยความหิว ด้วยท้อง ด้วยสมอง ด้วยหัวใจ แต่ถ้าไปเรียนเพราะกลัวว่าจะเป็นคนแปลก อันนี้ไม่ดี"
"คุณมองยังไงกับคนที่เลือกเรียนในคณะที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า"
"ต้องถามตัวเองว่าทำแต่ละอย่างนั้นเพื่ออะไร ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีก็ได้ แต่ขอให้รู้ก็แล้วกันว่าเหตุผลคืออะไร อย่าหลอกตัวเอง และอย่าทำอะไรเพื่อฆ่าเวลาเพราะเวลาของเรามีน้อย ต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ชาติหน้าจะเกิดมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะมีนรกสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมไม่อยากให้เด็กที่มีความมุ่งมั่นที่อยากจะทำอะไรแล้วโดนระบบค้ำไว้ _งอย่าคิดนอกกรอบ ฝรั่งมีสำนวนบอกว่า อยู่ในเรือลำเล็กอย่าโยกเดี๋ยวตกน้ำ ตกน้ำแล้วไง ก็ว่ายน้ำกันเป็นนี่ ดิ้นรนกันหน่อยก็ได้
ผมรู้จักหลายๆคนที่ไม่มีปริญญา เดินสมัครงานทั้งวันทั้งคืน ใครๆเขาก็มีปริญญากันได้ ผมไม่ได้ลดคุณค่าของปริญญาตรีนะ ใครก็มีได้ มันอยู่ที่ว่าคุณจบมหาวิทยาลัยอะไรมา เด็กรามฯกับเด็กจุฬาฯ เขาก็เลือกเด็กจุฬาฯ ถ้ามีเด็กจุฬาฯ 2 คน เขาก็เลือกคนที่มีนามสกุลเท่กว่า แล้วไงล่ะ ในที่สุดปริญญาของคุณก็ไม่ได้ให้อะไรคุณ นอกจากทำให้คุณต้องไปแข่งกับคนอื่นที่มีปริญญา เพราะฉะนั้นมาลองเล่นเกมอื่นกันไหม ถ้าไม่อยากแข่ง ถ้าไม่พร้อม ทำไมเราถึงไม่ลองสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ โอกาสที่จะล้มเหลวก็สูง แต่ถ้าชนะนี่โกยเลย"
"แล้วสำหรับคนที่ไม่กล้าตั้งเกมใหม่ขึ้นเล่นเอง ขอเลือกที่จะเรียนในระบบมหาวิทยาลัยล่ะ คุณอยากจะบอกอะไรพวกเขา"
"ต้องตั้งใจเรียน แล้วเอาปริญญานั้นออกมาให้ได้ ถ้าคุณจะเล่นเกมนี้ก็ต้องเข้าใจว่ามันยังมีอีกหลายต่อ ซึ่งใครๆก็รู้ว่ามันยาก คนก็เยอะขึ้นทุกวัน ก็ทำไปให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรู้ว่าการศึกษากับมหาวิทยาลัยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มหาวิทยาลัยคือสถาบันที่คุณจะได้รับปริญญาเมื่อคุณทำตามสิ่งที่เขาต้องการ แต่การศึกษาไม่ได้หยุดแค่ตรงนั้น ไม่ได้หยุดแค่ในห้องเรียน การศึกษาคือการเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเอง ไม่ใช่เพื่อสอบผ่านหรืออะไร คนเราควรจะหาความรู้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ มีความรู้ไว้มันไม่เสียหายอะไร ควรจะรู้หลายๆด้าน ไม่ใช่เหมือนพวกม้าลากรถที่เขาเอาผ้ามาปิดตาให้มองเห็นด้านเดียว ทั้งๆที่ผมใช้อินเตอร์เนตไม่เป็นเลยนะ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีสำหรับเด็กยุคนี้ สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ ในเมื่อเราโชคดีมากๆที่เกิดมาในประเทศที่ตามทฤษฎีน่าจะเป็นประชาธิปไตย เป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเกิดในจีนแดง เกาหลีเหนือ พม่า หรือมาเลย์ ออกความเห็นไปเลย อยากพูดอะไรก็พูด อยากรู้อะไรก็ไปหาข้อมูลมาให้ได้ มันไม่ใช่หาได้ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เผลอๆในมหาวิทยาลัยมีความรู้แบบเดียวเท่านั้น ผมก็ไม่เคยเข้าไปอยู่ในนั้นเหมือนกัน"
"คุณให้คำจำกัดความของมหาวิทยาลัยไว้อย่างไรบ้าง"
"มหาวิทยาลัยควรจะเป็นสถาบันเพื่อใช้หาความรู้มาพัฒนาตัวเอง เพื่อสอนความจริง เด็กทุกคนที่ออกจากมหาวิทยาลัยน่าจะมีคำถามใหญ่โตอยู่ในหัว อยู่ในสมอง ทำยังไงให้คุณภาพชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างดีขึ้น ยิ่งอำนาจบารมีเรามากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ต้องพยายามช่วยคนให้มากขึ้น เข้าไปแล้วออกมาควรจะเป็นขบถ เพราะประวัติศาสตร์ทั่วโลกสอนว่านักศึกษาคือขบถ แต่นักศึกษาเมืองไทยไม่เป็นขบถเลย นักศึกษานี่โคตรจะเป็นชนชั้นกลางที่ดีมากๆ ออกมานี่กลมกลืนกับระบบเหลือเกิน ตามกฎเกณฑ์เหลือเกิน คือติ๋มน่ะ พูดตรงๆถามว่าถ้าระบบการเมืองแ_งยึกยักขึ้นมา จะออกมาเฮ้วๆกันที่ราชดำเนินอีกไหม ผมคาดว่าไม่นะ
คนที่เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยควรจะถูกพัฒนาให้มีความรู้มากขึ้น โดนหลอกยากกว่า ไม่ใช่เข้าไปแล้วโดนหลอกง่ายกว่า ซึ่งผมกลัวว่าคนที่เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะเป็นเหยื่อของแฟชั่น เป็นเหยื่อของสื่อ มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ เพราะในเมื่อคุณไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ทำมาหากิน มีเงินของพ่อแม่อยู่ในกระเป๋า คุณก็ไม่รู้ค่าของเงิน โฆษณาถึงยิงแต่กลุ่มนี้เพราะเป็นกลุ่มที่ซื้อโดยไม่คิด ทั้งๆที่ควรจะคิดมากกว่าคนอื่น มันควรจะเป็นวัยที่หลอกยากที่สุด สร้างปัญหาให้คนอื่นเยอะที่สุด ซนที่สุด ดื้อที่สุด อันตรายที่สุด แต่กลับปลอดภัยมากๆ โดนจูงกันเป็นวัวเลย สื่อไปทางไหนก็ต้องไปทางนั้น พวกสื่อก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเราไปให้ความสำคัญกับ....... ดูแต่ละคนที่ยกย่องกันสิ ไม่ค่อยน่ายกย่องกันสักเท่าไหร่
เด็กก็ผิดที่ไปเชื่อเขา ไปคิดว่าการที่คุณผิวขาวแล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น แล้วคุณคิดว่ามันใช้ได้จริงๆเหรอ คุณเกิดมาดำ พ่อแม่ของคุณผิวคล้ำ คุณจะขาวได้เหรอ แล้วคนดำที่แอฟริกาเขาไม่_บหายกันหมดเลยเหรอ โฆษณาในสื่อกำลังบอกว่าคุณเป็นคนไม่มีค่า ถ้าหน้าตาของคุณไม่มีสีอย่างนี้ ไม่ฉีดสเปรย์หอมๆ ไม่ขับรถแพงๆ ไม่ใส่เสื้อยี่ห้อนี้ ไม่มีมือถือรุ่นนี้จะไม่มีผู้หญิงคนไหนมาเอาคุณ ใช่เหรอ ไม่น่าจะใช่นะ ผมว่าคนเราหลงรักกันไม่ใช่ด้วยยี่ห้อมือถือมั้ง เราไม่ได้เป็นกะหรี่กันทั้งประเทศนะ
ผมว่ามันเป็นความเชื่อที่อุบาทว์ แต่ก็เชื่อกัน ก็กินชาเขียวกันเข้าไป กินน้ำไม่เป็นกันเหรอ แค่เอาน้ำมาโฆษณาขาย ผมก็ฮาแล้ว เฮ้ยกินน้ำยี่ห้อนี้หรือยัง นี่มันอะไรกันเนี่ย น้ำมันก็ไฮโดรเจน 2 อะตอม กับออกซิเจน 1 อะตอมเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ
บางครั้งผมตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกว่าทุกคนบ้าไปแล้ว ผมไปงานศพเด็กคนนึง ขี่มอเตอร์ไซค์ชน ศพเผาเหลือแต่ขี้เถ้าแล้ว มอเตอร์ไซค์ยังอยู่นี่เลย เอาไปไหนได้ ไม่มีความหมายเลย เผลอๆความรู้ที่เราหามาได้ พอตายไป วิญญาณเราอาจจะเอาไปใช้ต่อที่ไหนก็ได้ ผมว่าสิ่งที่เราเอาเข้ามาในตัวเอง ความรัก ความทรงจำที่ดี งานสร้างสรรค์ สมมติว่าคุณเคยฟังเพลงเพลงนึง แล้วคุณเข้าไปอยู่ในคุก เพลงมันก็ยังอยู่ในหัว ยังจำได้ ยังฟังได้ สมมติว่าถึงวันที่อเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ชาวบ้าน โลกแตก หรือสึนามิเข้า บ้านหายหมด ในที่สุดเหลืออะไร เหลือแต่ตัวกับสิ่งที่อยู่ในสมอง มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครมาขโมยจากเราได้ ถ้าคุณเข้ามหาวิทยาลัยเพราะอยากพัฒนาสมองตัวเองนี่เยี่ยมเลย แต่ถ้าเข้าไปเพราะคิดว่าใครๆเขาก็เข้ากัน คุณก็ไม่ได้ดีไปกว่าวัวสักเท่าไหร่ ก็เป็น!ตัวนึงในฝูงที่ถูกเขาลากเข้าไป แล้วก็โดนเชือด เดี๋ยวก็โดนคนอื่นกิน"
เล็กเว้นจังหวะหยุดคิด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคสุดท้าย
ที่มา http://www.montfort.ac.th/newweb/vichakarn/viewDetail.php?sid=26
อันนี้ลิงค์บทสัมภาษณ์สมัยอายุ20 ก็ประมาณ 3 ปีก่อนสัมภาษณ์ทีื a day ที่http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Dokya/D100/D100_28.html
Sunday, 17 June 2012
บทเรียนจากโบโกต้า เมืองจักรยาน
เป็นสารคดีเกี่ยวกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเมืองให้กลายเป็นเมืองจักรยาน (: หวังว่าสักวันหนึ่ง เชียงใหม่ หรือจังหวัดอื่นๆในประเทศไทยจะทำได้อย่างนี้บ้าง
Thursday, 14 June 2012
Jennifer Lawrence (Hunger games) portrait drawn upside down
Jennifer Lawrence another favorite girl
and this video is really really really awesome!!
and this video is really really really awesome!!
Subscribe to:
Posts (Atom)